หน้าเว็บ

Friday, November 21, 2014

Server Storage

Server Storage คืออะไร
ปัจจุบัน IT ก็เข้ามามีส่วนในชีวิตของเรามากขึ้นทุกที ไม่ว่าระดับในองค์กร หรือในส่วนบุคคลก็ตาม
และ  Server Storage เข้าไปมีส่วนสำคัญ จริงๆแล้วคำว่า Storage ถ้าให้ความหมายง่ายๆก็คือ
พื้นที่เก็บข้อมูลทางอีเล็กโทรนิค หรือ อาจจะรู้จักกันในนามของ Hard Drive นั้นเอง  แต่ทำไมหมวดนี้ถึงมีความสำคัญ ถึงต้องแยกออกมาเลยล่ะ คงต้องอ่านกันต่อไป




เมื่อ IT มามีส่วนในชีวิตเรา หรือในองค์กรเรา นับวันเราก็ยิ่งใช้มันมาแทนกระดาษ และอำนวยความสะดวกในชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คงไม่มีใครปฎิเสธว่าข้อมูลเราที่อยู่ใน HardDisk นั้นมีค่า
สำหรับเรามากแค่ไหน ขนาด Computer ที่เราใช้งานนั้น เพียงแค่ File งานเล็ก ๆ ไม่กี่งาน เรายังรู้สึกว่ามันมีความสำคัญกับเรามาก หากมันสูญหาย มีปัญหา หรือโดน Virus กินเราอาจจะต้องยกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน  หรือร้านคอม เพื่อให้กู้ข้อมูลมาก็เป็นไปได้ หนักไปกว่านั้น ถ้าเป็นบริษัทแล้วละก็
สิ่งเหล่านี้ย่อมผิดพลาดไม่ได้เลย

   อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ก็ไปใช้ Server ไง ตอนนี้องค์กรก็ใช้ Server เก็บข้อมูลแล้ว แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  เพราะเดี๋ยวนี้ Server มีราคาถูกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้อมูลก็ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ Storage Solution จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น  ทำให้ผู้ให้บริการ Hardware รายใหญ่ ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของตรงนี้ไม่ว่าจะ EMC เอง IBM เอง หรือแม้กระทั้ง HP หรือ DELL  เพราะว่า Data ที่มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสำคัญต่อองค์กรมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเอง
 
Storage Solution จึงเข้ามาเป็นคำตอบเพื่อป้องกันข้อมูลของคุณ
มันเป็นขั้นสูงสุดของการเก็บข้อมูลเลยทีเดียว เพราะลำพังการเก็บข้อมูลไว้ใน Server เราอาจจะคิดว่าเราทำ RAID ดีแล้ว Disk พังได้ ปลอดภัย   แต่ต้องไม่ลืมว่า Server เองมีเพียง Card RAID Controller ใบเดียว แล้วค่า Array ของ RAID นั้นก็เก็บไว้ใน Card มีหลายคน   จำนวนไม่น้อยเลยที่ Disk ไม่พังแต่ Card RAID พัง ก็ทำให้ Data หายหมด ไม่สามารถกู้คืนได้ก็มี หรือแม้กระทั้งไฟดับ แล้ว Card RAID   ไม่มี Battery Backup ก็ทำให้ข้อมูลระหว่างช่วงที่ยังไม่ได้เขียนข้อมูลหายไปก็มี

   Server Storage ยังมีคุณสมบัติพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ของ Server เราได้คือ การประหยัด Harddisk ในองค์กร ตัวอย่าง เช่น หากเรามี Server จำนวน 3 ตัว 5 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมี Disk ของตัวเอง บางเครื่องก็ใช้ Disk มาก บางเครื่องก็ใช้ Disk น้อยเครื่องที่ใช้มาก เวลาเพิ่มก็เพิ่มทีหลายลูกเพราะต้องทำ RAID และ HotSpare พอเพิ่มไปกว่าจะใช้หมด Disk ก็ใกล้พัง จะเห็นว่า การใช้ Disk ของแต่ละเครื่องนั้นเสียไปโดยใช่เหตุ Disk ลูกนึงก็หมื่นกว่าบาท 2 หมื่นบ้าง แต่ Storage เข้ามาตอบโจทย์ของการประหยัดคือ  คุณจะสามารถโยก Space ของ Disk ได้ใน Server แต่ละตัว โดยคุณจะประหยัดปริมาณของ Disk ลง และยังช่วยประหยัดค่าไฟที่จ่ายให้ Disk อีกต่างหาก  และช่วยลดโลกร้อนไปอีกด้วย

   ไม่เพียงเท่านี้ หากคุณต้องการทำ Tape Backup คุณก็ต้องซื้อ Tape Backup ใส่ Server แต่ละตัว แต่ละตัว ก็แพงเหลือเกิน แต่ถ้าคุณใช้ Storage Solution คุณก็แค่เอา Tape ชุดเดียวต่อกับ Storage เลย ก็จะ Backup ตรงได้เลย นี่เป็นเพียงคุณสมบัติย่อย ๆ ของ Storage  ที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้มาก และจะเห็นว่า Storage Solution ทุกวันนี้ถูกลง จนองค์กรขนาด SME นั้นเอื้อมถึง เพราะแต่ก่อน คงไม่ต้องถึง สำหรับราคาหลักแสน เพราะคงต้องพูดกันในหลักล้าน แต่ตอนนี้หลักหมื่นก็ยังมี ^^




ที่มา : http://guru.google.co.th/


Review Windows Server 2012R2

10 ฟีเจอร์เด่นบน Windows Server 2012


image
     
หนึ่งในระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดที่ หลายคนรอคอยว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งมีการเปิดเผยว่ามีการปรับปรุงอินเทอร์เฟซ และคุณสมบัติในการทำงานกว่าร้อยอย่าง โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับระบบเสมือนหรือเวอร์ชวลไลเซชันและการจัดการระบบไอที ด้วย ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ได้สาธิตคุณสมบัติและการปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ๆที่เกิดขึ้น ใน Windows Server 2012 โดยอ้างอิงถึงคุณลักษณะสำคัญของ Windows Server ที่มีทั้งความยืดหยุ่น, คล่องตัว, และปลอดภัยที่ทำได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ซึ่ง Windows Server 2012 จะเข้ามาเติมเต็มและรับช่วงต่อจาก Windows Server 2008


       มีการพูดถึงระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่จาก ไมโครซอฟท์นี้มากมาย แต่โดยรวมจะมีอยู่ 10 คุณสมบัติหรือ

ฟีเจอร์สำคัญ อาทิ ระบบจัดการข้อมูลซ้ำซ้อน (Data deduplication) สำหรับไฟล์เซิร์ฟเวอร์, การสนับสนุน PowerShell ซึ่งจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการระบบเสมือนอย่าง Hyper-V ได้ง่ายผ่านคอมมานด์ไลน์ และอื่นๆ น่าสนใจสำหรับ Windows Server 2012 เวอร์ชัน Beta นี้ 

      1. การจัดการเซิร์ฟเวอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่: รองรับทั้งเซิร์ฟเวอร์จริงและเสมือนผ่านทาง Active Directory รวมไปถึงการแสดงข้อมูลในภาพรวมของเซิร์ฟเวอร์ตามบทบาทหน้าที่และคุณลักษณะใน การใช้งานต่างๆ บนแดชบอร์ด พร้อมกับสามารถสร้างแดชบอร์ดส่วนตัวเพื่อจัดการกับเซิร์ฟเวอร์ได้อีกด้วย ภายใต้คอมมานด์ไลน์อย่าง PowerShell และ WMI (Windows Management Interface) และมีการพิจาณาถึง cmdlet ซึ่งเป็นคำสั่งเซลล์เฉพาะทางใหม่ๆกว่า 2,300 คำสั่งอีกด้วย


      2. การจัดการการใช้งานเซิร์ฟเวอร์แบบอิสระ: Windows Server 2012 ได้สืบทอดคุณสมบัตินี้มาจาก Wizard ใน Windows Server 2008 สำหรับการจัดการเซิร์ฟเวอร์ตามบทบาทและการใช้งาน แต่คราวนี้จะเป็นการรวบรวมเอาคุณสมบัติเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสามารถเลือกจัดการเซิร์ฟเวอร์แบบ  Local หรือแบบ Remote รวมทั้งฮาร์ดดิสก์เสมือน โดยสามารถจัดการการใช้งาน แบบอัตโนมัติผ่านทาง cmdlets ของ PowerShell และ API ของWMI หรือแม้แต่การติดตั้งหรือเคลื่อนย้ายเซิร์ฟเวอร์หลัก (Server Core) ก็ทำได้ง่ายขึ้น


       3. การจัดการ IP Address: ต่อไปนี้อาจไม่ต้องใช้สเปรดชีตในการติดตามการจัดสรร IP Address โดย Windows Server 2012 จะมาพร้อมกับระบบการจัดการ IP Address เต็มรูปแบบ โดยสามารถจัดสรร IP Address และติดตามความเคลื่อน ไหวของสถิติ, สถานะของ DNS และ DHCP, รวมทั้งความสามารถในการตรวจสอบเครือข่ายทั้งหมดจากจุดเดียวด้วย


      4. การควบคุมการเข้าถึงแบบไดนามิก: การควบคุมการเข้าถึงแบบไดนามิกจะช่วยให้สามารถกำหนดนโยบายและสิทธิเรียกร้อง ตามการควบคุมการเข้าถึงตามความสำคัญได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น คุณอาจต้องสร้างกฎเพื่อให้แน่ใจว่ามีเพียงสมาชิกของกลุ่มการเงินสามารถเข้า ถึงไฟล์ของแผนกการเงินอย่างเคร่งครัดและจากอุปกรณ์ที่มีการควบคุมดูแลอยู่  และกฎนี้อาจจะมีผลบังคับใช้โดยทั้งหมดใช้  Windows Server 2012 ที่อยู่ในส่วนของไฟล์เซิร์ฟเวอร์


      5. การคลัสเตอร์ Hyper-V ขนาดใหญ่: Windows Server 2012 จะรองรับการคลัสเตอร์กว่า 63 โฮสต์และ 4,000 เวอร์ชวลแมชชีน โดยมีการปรับปรุงคุณลักษณะในการจัดการ, ความมีสเถียรภาพและการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะในแง่ของการจัดการข้อมูลและสตอเรจ รวมไปถึงการเข้ารหัสและการเคลื่อนย้ายสตอเรจพร้อมกับรองรับ NIC (Network Interface Card) จากผู้ผลิตหลายราย และการกำหนดค่าสำหรับ  i/o ของการเชื่อมต่อผ่านไฟเบอร์สำหรับ  Hyper – V


      6. การเคลื่อนย้ายที่มีความยืดหยุ่นสูง: Windows Server 2012 จะมาพร้อมกับความสามารถในการเคลื่อนย้ายฮาร์ดดิสก์เสมือนหรือแฟ้มที่มีการ กำหนดค่าสำหรับเวอร์ชวลแมชชีน โดยไม่มีการหยุดชะงักของระบบ นอกจากนี้ Windows Server 2012 ยังสามารถจำลองการปฏิบัติงาน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของเวอร์ชวลแมชชีนในการเปลี่ยนผู้ถือครองทรัพยากร ในกลุ่มคลัสเตอร์ด้วย


      7. การรองรับระบบเครือข่ายเสมือนขั้นสูง: หากคุณเคยมีปัญหากับการจัดการระบบเครือข่ายเสมือน Windows Server 2012 จะช่วยตอบโจทย์ทั้งในส่วนของการจัดการแบนด์วิดธ์ของระบบเครือข่ายเสมือน, QOS การรองรับโพรโตคอลมาตรฐานเปิดอย่าง OpenFlow เป็นต้น โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมราคาแพง โดยเป็นระบบการจัดการเสริมที่อยู่ใน Hyper-V นั่นเอง


      8. การทำสำเนา Hyper-V: หนึ่งในคุณสมบัติที่ผู้ใช้งานระบบเสมือนต้องการมากที่สุดคือการกู้คืนระบบ ที่ทำได้ง่าย และใน Windows Server 2012 จะทำให้แนวทางนี้ทำได้สะดวกขึ้น โดยหลังจากที่เลือกดิสก์เสมือนและตำแหน่งที่จะทำซ้ำ สามารถเลือกรูปแบบ, ตั้งเวลาซิงค์หรือการเขียนสำเนาไปยังดิสก์แบบ Local และยังสามารถระบุการตั้งค่า IP ในกรณีการเปลี่ยนผู้ถือครองทรัพยากรในกลุ่มคลัสเตอร์ระหว่างการทำสำเนาอีก ด้วย


      9. แอพลิเคชันของเซิร์ฟเวอร์สำหรับ SMB: Windows Server 2012 สนับสนุนการทำงานของธุรกิจขนาดเล็กและสำนักงานสาขาให้สามารถรันเวอร์ ชวลแมชชีนของ Hyper-V และฐานข้อมูลของ SQL จากไฟล์เซิร์ฟเวอร์ทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของระบบจัดเก็บข้อมูล อีกทั้งยังสามารถปกป้อง Hyper-V และดูแลภาระงานของ SQL ด้วยการสร้างกลุ่มคลัสเตอร์สำหรับไฟล์เซิร์ฟเวอร์บนโพรโตคอล SMB ซึ่งใช้งบประมาณต่ำและทำได้ง่าย


     10. ระบบโครงสร้างพื้นฐานของเดสก์ทอปเสมือน:  ความน่าสนใจอีกอย่างของ Windows Server 2012 คือการช่วยลดความซับซ้อนของการจัดการและค่าใช้จ่ายของระบบโครงสร้างพื้นฐาน ของ

เดสก์ทอปเสมือนลง โดยการใช้งานในส่วนของ RemoteFX ไม่ต้องพึ่งพาหน่วยประมวลผลกราฟฟิกและช่วยลดแบนด์วิดธ์ลงได้ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับ Windows Server 2008 R2 ซึ่งสามารถการจัดการด้านใช้งานจากจุดเดียวครอบคลุมทุกรูปแบบของการจัดการใช้ งานระบบเดสก์ทอปเสมือน ขณะที่ในส่วนฟอร์แมตของไฟล์สำหรับฮาร์ดดิสก์เสมือนแบบใหม่ (vhdx) ซึ่งมีรูปแบบเดียวกับการแชร์ไฟล์บนระบบเสมือนบนไฟล์เซิร์ฟเวอร์ SMB ทางไมโครซอฟท์กล่าวว่ากำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในโอกาสต่อไป





ที่มา : http://www.microsoft.com/business

        http://arit.rmutsv.ac.th

ปรับปรุงใหม่ของ Active Domain Directory Services บน Windows Server 2012R2

คุณสมบัติและหน้าที่การทำงานที่มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้ดีขึ้น Active Domain  Directory Services บน Windows Server 2012R2  จาก Windows เวอร์ชั่นก่อนดังนี้

002-ad-users-and-computers-clone-a-Windows-Server-2012-Domain-Controller

IMPROVED VIRTUALIZATION SUPPORT
            ปรับปรุงความสามารถในการสร้าง โดเมนคอนโทรลเลอร์ด้วยการใช้ Virtual Machine Templates ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของไมโครซอฟต์และใน ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟต์ ได้มีการเพิ่มเติม ฟังก์ชั่นการป้องกันไว้ใน AD DS  ที่จะช่วยปกป้องความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากการกระทำ หรือจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่าง ๆ  ให้กับ โดเมนคอนโทรลเลอร์ โดยวิธีการป้องกันความผิดพลาดที่เรียกว่า  Virtual Machine Snapshot.


BETTER FINE-GRAINED PASSWORD POLICY CONTROL AND RECYCLE BIN INTERFACES
        ไมโครซอฟต์  มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการใหม่ของ Fine-Grained Password Policy Control และ AD  Recycle Bin ที่ง่ายขึ้นมาให้กับผู้ที่ทำหน้าที่บริหารระบบ โดยการใช้เครื่องมือ Active Directory Adminnistrative Center (ADAC) ที่เป็น GUI   ซึ่งต่างจาก Windows Server 2008R2   
ต้องใช้  ADSI  Edit  ซึ่งเป็น Cmdlet ในการจัดการ ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ACTIVE DIRECTORY FEDERATION SERVICES (AD FS) IMPROVEMENTS
         AD FS  2.1 และ 3.0 (Windows server 2012 R2) ถูกรวมรวมและใช้เป็นพื้นฐานหลัก (Native) 
ไว้ใน  Windows server 2012 R2   ซึ่งมีการสนับสนุน  Enterprise Applications ให้กับ Host ที่ทำหน้าที่เป็น  Cloud ให้กับเครือข่ายเน็ตเวิร์ก และมีการปรับปรุงแก้ไข และสนับสนุนการใช้งานของเว็บ
 ที่เป็นแบบ Single Sign-On (SSO)  ให้กับ แอพพลิเคชั่นขององค์กรและแพล็ตฟอร์ม
 ที่แตกต่างกันได้

ENHANCED POWERSHELL SUPPORT
          Windows server 2012 R2 จะใช้ Windows PowerShell 3.0  ส่วน  Windows server 2012 R2
จะใช้  Windows PowerShell 4.0   ที่มีการปรับปรุงและออกแบบ PowerShell Commandlets (cmdlet) เพิ่มเติม ที่ใหม่ขึ้น  พร้อมทั้งมีการติดตั้งการใช้งานคำสั่งต่าง ๆ ทั้งหมดมาให้   พร้อมเสร็จบนโฮสต์ที่มีการรัน Windows Servers 2012R2  หรือ Windows Servers 2012R2   AD  DS  เพื่อให้สามารถใช้คำสั่ง
ที่เป็น คอมมานด์ไลน์ (Command Lind) ในการจัดการให้กับระบบ ที่เป็นไปโดยอัตโนมัติได้เกือบทั้งหมด
         ตัวอย่าง เช่น :
         - การจัดการเกี่ยวกับ เน็ตเวิร์ก เช่น Storage, Clustering, RDS, DHCP, DNS, File Servers,
 Print, SMI-S และอื่น ๆ อีกมากมาย

Thursday, November 20, 2014

ข้อดีของ SERVER VIRTUALIZATION และการนำไปใช้งาน

SERVER VIRTUALIZATION เป็นเทคโนโลยี
            ในการจำลองเซิร์ฟเวอร์เครื่องจริง (Physical Server) 1 เครื่อง ให้เป็นเซิร์ฟเวอร์เสมือน
Virtual Server เรียกย่อว่า VM หลาย ๆ เครื่องโดยแต่ละเครื่องสามารถลงระบบปฏิบัติการ(OS) 
และแอพพลิเคชั่นต่าง กันได้ โดยสามารถให้บริการรองรับให้ผู้ใช้ปลายทาง (End user) ใช้ Thin Client เชื่อมต่อเข้ามาใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา โดย VM แต่ละเครื่องมีอิสระต่อกัน หาก VM ตัวใดตัวหนึ่งเสียหายหรือแฮงค์ VM ตัวอื่นสามารถทำงานได้อย่างปกติ



     ข้อดีของ SERVER  VIRTUALIZATION
        - ลดต้นทุนในการซื้อ Server เพราะซื้อตัวเดียวแต่สามารถลงได้หลายระบบปฏิบัติการ (OS)
   ตัวอย่างเช่น Windows Server,Unix,Linux ใน Server เพียงเครื่องเดียวได้ 
        - รองรับการเชื่อมต่อเข้าจากเครื่อง Thin Client ได้จากทุกที่ทุกเวลา
        - ง่ายต่อการโอนย้ายระบบ กรณีเปลี่ยน Server ก็สามารถทำได้ง่ายได้ง่าย
        - รองรับการเชื่อมต่อเข้าจากเครื่อง Thin Client ได้จากทุกที่ทุกเวลา



SERVER VIRTUALIZATION ใช้ที่ไหนบ้าง
        - บริษัท ที่รับพัฒนาซอฟแวร์ เพราะจำเป็นต้องใช้เครื่องในการทดสอบระบบ ที่แตกต่างกัน จะ
    สามารถนำ Server Virtualization ไปใช้ประโยชน์ ได้เป็นอย่างดี
        - หน่วยงาน การศึกษา เพราะมีนักศึกษาและบุคลากรอยู่เป็นจำนวนมาก




THE VIRTUAL DATA CENTER

การวางระบบ Server Virtualization

อย่าลืมทำ Server Virtualization ด้วยน่ะครับ สำหรับ การวางระบบไอที


 อย่าลืมทำ Server Virtualization ด้วยน่ะครับสำหรับ แผนกไอที

          ซึ่งจากที่เห็นแผนกไอที ของหลาย ๆ ที่ ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเซิร์ฟเวอร์เสมือนจริง
 และไม่ได้มีแผนการที่จะอัพเกรดระบบเพื่อรองรับระบบคลาวด์โดยอัตโนมัติ ปัจจุบันหลาย ๆ
องค์กรมักจะทำโดย Cheap เซิร์ฟเวอร์เมฆ Disaster Recovery เล็ก ๆ น้อย ๆ ภายนอกองค์กร
ค่าเช่ารายเดือนเท่านั้น และการขยายตัวได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน วันนี้ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ Virtualization ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานต่อไปเมฆในอนาคต เทคโนโลยีในการทำ Virtualization มีมากกว่า 10 ปีประสบการณ์การทำงานของระบบไอที



       เชื่อว่าจะเห็นประโยชน์มหาศาลของมัน และไม่มีใครต้องการที่จะกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์
บนเซิร์ฟเวอร์ ทางกายภาพจริง ๆ แต่ผู้ที่ไม่เคยทำ ฉันยังคงมีคำถามมากมาย  และไม่ปรับเปลี่ยน
ระบบที่จะเข้าสู่ Virtualization แม้ว่าจะมีหลายคนเคยได้ยินมาแล้ว เซิร์ฟเวอร์เสมือนจริง
ที่จะทำคือการแบ่งปันจริง (Server ที่มีอยู่จริง) ลงในเซิร์ฟเวอร์เทียม (เซิร์ฟเวอร์เสมือน)
 ย่อยหลาย  ของแต่ละเซิร์ฟเวอร์เทียมสามารถกำหนดขนาดของ CPU, RAM, Hard Disk,
เครือข่ายตามความจำเป็น แบ่ง Server ไปยังความจริงที่ว่าแต่ละคนสามารถใช้ประโยชน์
จากระบบปฏิบัติการของเซิร์ฟเวอร์ และโปรแกรมของตัวเองแยกออกจากเซิร์ฟเวอร์ประดิษฐ์อื่น ๆ ลักษณะของเทียมเซิร์ฟเวอร์บนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในรูปแบบของไฟล์ในฮาร์ดดิสก์ซึ่งสามารถคัดลอก
คัดลอกเก็บไว้   หรือย้ายไปที่อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายจริง

         ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเป็นครั้งแรกคือ  การลดค่าใช้จ่าย แต่คุณอาจจำเป็นต้องซื้อจริงเซิร์ฟเวอร์หลายตัวที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงแต่ละ Server และมักจะใช้เซิร์ฟเวอร์ไม่ได้เต็มรูปแบบ
ที่คุณเคยเห็นใช้ CPU 100% ทุกครั้งที่ผมเคยเห็นส่วนใหญ่ของการใช้ CPU เซิร์ฟเวอร์ของฉันมักจะเป็น 5-15% โดยเฉลี่ยเท่านั้นทำให้หลายเซิร์ฟเวอร์เทียมภายในเซิร์ฟเวอร์ เพียงตัวเลือกที่แท้จริงคือการใช้ประโยชน์จากมูลค่า CPU ของคุณมีราคาแพง มักจะก่อให้เกิดการใช้งาน CPU ได้ถึงมากที่สุด
เท่าที่ 60-80% เลยทีเดียว ใช้พลังงานของเซิร์ฟเวอร์รวมทั้งทางอากาศและไอน้ำได้
และโดยปกติมีแนวโน้มที่จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์จริงบันทึกเซิร์ฟเวอร์ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมันมาก ประโยชน์คือการเพิ่มเซิร์ฟเวอร์ในระบบหรือการปรับเปลี่ยนขนาดของเซิร์ฟเวอร์สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
ถ้านี่เป็นครั้งแรกเพิ่มเซิร์ฟเวอร์หรือแก้ไขลด CPU, RAM, Hard Disk ฯลฯ จะใช้เวลาหลายวัน
ต้องวางแผนสั่งของ และการติดตั้งก่อนการตรวจสอบ แต่ด้วย Virtualization Technology 
เราสามารถเพิ่มเซิร์ฟเวอร์และปรับขนาดได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ง่ายและรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนมัน คุณสามารถใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ที่มีอยู่ให้เหมาะสม
 เท่ากับความต้องการใช้งานจริงจะต้อง "สำหรับ" ขนาดของ CPU, RAM, Hard Disk ที่มีราคาแพงมากขึ้นก็เป็นมาก่อน ความสามารถในการแยกออกจากเซิร์ฟเวอร์เทียมต่าง ๆ


 ยกตัวอย่างเช่นมันอาจแยกเซิร์ฟเวอร์จัดการเซิร์ฟเวอร์สำหรับ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์  สำหรับระบบลงเวลา HR Manager เซิร์ฟเวอร์   และอื่น ๆ








            ข้อดีและการนำไปใช้งาน  เมื่อเครื่องหนึ่งมีปัญหา มันจะไม่ทำให้เกิดปัญหากับเครื่องอื่น ๆ  ในระบบ
เพราะ Virtualization Technology สามารถสำรองข้อมูล  จะสามารถ กู้คืนความเสียหาย  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ +





Tuesday, November 18, 2014

การสร้าง ODBC เอาไว้ใช้งาน

สวัสดีครับเจอกันอีกครั้งน่ะครับ วันนี้ทาง   IT-KORAT  ขอนำเสนอ การสร้าง ODBC เอาไว้ใช้งาน ในโปรเจคของเราน่ะครับ  ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับ ODBC ก่อนน่ะครับว่า คืออะไร

“ODBC คืออะไร

           Open Database Connectivity (ODBC) เป็นมาตรฐาน หรืออินเตอร์เฟซของโปรแกรมประยุกต์แบบเปิด (Open Application Programming Interface) สำหรับการเข้าถึงฐานข้อมูล โดยการใช้คำสั่ง ODBC ในโปรแกรมมาจะทำให้สามารถเข้าฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน รวมถึง Access, Dbase, DB2, Excel และ text โดยการเพิ่มซอฟต์แวร์ ODBC ในแต่ละโมดูล หรือ Driver เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลที่ต้องการ ซึ่ง Microsoft เป็นผู้สนับสนุนหลักของโปรแกรม ODBC
ODBC มีพื้นฐานและการจัดตำแหน่งใกล้เคียงกับ Open Group มาตรฐานของภาษา SQL ซึ่ง ODBC เป็นระบบอินเตอร์เฟซ โดยการใช้โปรแกรมนี่จะทำให้สามารถใช้คำสั่ง SQL เข้าถึงมาตรฐานข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องรู้จักคุณสมบัติการอินเตอร์เฟซของฐานข้อมูล ODBC จะรับรู้ภาษา SQL และแปลงเป็นคำสั่งของฐานข้อมูลแต่ละระบบ

ODBC ได้รับการสร้างขึ้นโดย SQL Access Group โดยมีการนำเสนอครั้งแรกในเดือนกันยายน, 1992 ในปัจจุบัน ODBC มีเวอร์ชันที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows, UNIX, OS/2 และ Macintosh ในสถาปัตยกรรมแบบ distributed Object ที่เรียกว่า Common Object Requset Broker Architecture มีโปรแกรมที่เรียกว่า President Object Service (POS) เป็นกลุ่มระดับสูงของระดับอินเตอร์เฟซและ ODBC เมื่อมีการใช้โปรแกรมในภาษา JAVA และใช้โปรแกรมประยุกต์ JAVA Database Connectivity ในการอินเตอร์เฟซ ซึ่งรวมถึง JDBC- ODBC คือโปรแกรมเชื่อม เพื่อเข้าถึง ODBC ”

เอาล่ะครับเราคงพอเข้าใจกันแล้วน่ะครับว่า ODBC คืออะไร ทีนี้เรามาเริ่มกันเลยครับ

ก่อนอื่นเรา ต้องเปิด Control Panel ก่อน  เข้าไปที่  Administrative  tools - > Data Source(ODBC) 



จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้กด ADD-> เลือกตามลูกศรแล้วกด Finish


จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมา ก็ให้ใส่ข้อมูลตามรูป ครับ

Data Source Name:  เรากำหนดเองครับชื่อไรก็ได้
TCP/IP SERVER: อันนี้ในตัวอย่างผม ใช้ในเครื่องทำ DB ผมใช้ Xampp ครับ
User: ชื่อผู้ใช้งาน
Password: รหัสผ่าน
Database: ชื่อฐานข้อมูล



จากนั้นคลิกปุ่ม OK แค่นี้เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ
          หากดูแล้ว งง ๆ ก็คอมเม้นมาได้เลยครับยินดีตอบครับ วันนี้ผมขอจบบทความเพียงเท่านี้ก่อน ไว้พรุ่งนี้จะมาต่อเรื่องการ Connect DB ครับ ขอบคุณที่เข้ามาชมครับ

Credit by: Krumkroo.com

Visual Basic Tutorial ตอนที่ 2 การสร้าง Project และการเชื่อมต่อ Database

            สวัสดีครับ เจอกันอีกครั้งน่ะครับกับ  Development Kids กลับมาคราวนี้ ผมขอเสนอ  Visual Basic Tutorial ตอนที่ 2 การสร้าง Project และการเชื่อมต่อ Database  ก่อนอื่น ผมขออธิบายกันแบบคร่าวๆเกี่ยวกับรูปแบบการเชื่อมต่อกับ ฐานข้อมูล ก่อนน่ะครับว่ามีรูปแบบยังไงบ้าง
รูปแบบการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ประกอบด้วย

1. ODBC  อันนี้ผมได้อธิบายไปแล้วในบทความ การสร้าง ODBC  ครับสามารถกลับไปอ่านได้ในบทความที่ผ่านมาได้ครับ


2. OLEDB อันนี้เอาตามความเข้าใจของผมเลยน่ะครับ OLEDB นี้เอาไว้เชื่อมต่อกับพวกฐานข้อมูลจำพวก Access Excel   Oracle MySql  เป็นต้น ครับ

3. SQL ส่วนอันนี้คงไม่ต้องอธิบายมากครับชื่อก็อบอกอยู่แล้วว่า SQL อันนี้ไว้เชื่อมต่อ พวก SQL MySQL  เป็นต้นครับ

ทีนี้เรามาพูดถึง ส่วนของ Provider กัน  Provider นี้จะเป็นรูปแบบของชุดการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ซึ่งแต่ล่ะตัวจะมีการเรียกใช้งานแบบเฉพาะของใครของมัน ซึ่งก็มีดังต่อไปนี้ครับ

Connection สำหรับไว้ Connect Database แบบต่าง ๆ ที่ใช้งานบ่อย ๆ ผมจะแบ่ง Group น่ะครับตามข้างล่างเลย

ODBC
strConnString=”DNS=ODBC;UID=User;PWD=Password;”

OLEDB
' Oracle
strConnString = "Data Source=TCDB;User Id=myuser;Password=mypassword;" 

' Access 2007
strConnString  = "Provider=Microsoft.ACE.OLEDB.12.0;Data Source=C:\Database1.accdb;"

'Access 2003
strConnString = "Provider= Microsoft.Jet.OLEDB.4.0;Data Source=C:\Database1.mdb;"

SQL

' MS SQL Server
'1)
strConnString = "Data Source=.\SQLExpress;Initial Catalog=myDatabase;Integrated Security=True" 
'2)
strConnString = "Data Source=ATHLON2500;Initial Catalog=HirePurchase;User ID=vs2005;Password=1234"

' Mysql

strConnString = "Database=myDatabase;Data Source=localhost;User Id=root;Password=mypassword" 

รูปการ Connect ที่หลักที่ผมใช้ก็มีแค่นี้เองครับ เอาล่ะครับทีนี้เรามาเริ่มการ  การสร้าง Project กันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นเราต้องเปิด Visual Studio 2008 ข้นมาก่อนน่ะครับ
เสร็จแล้วไปที่   File -> New -> Project 
 จากนั้นจะมีหน้าต่างโผล่ขึ้นมา




เสร็จแล้วให้เราทำการ ตั้งชื่อ Project ในตัวอย่างผมตั้งชื่อว่า Training น่ะครับ หากต้องการจัดเก็บ Project ไว้ที่ Direct อื่นให้เรากด ที่ Browse จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เราเลือกที่จะเก็บที่ไหน ในตัวอย่างผมเก็บที่    D:\Training\VB
จากนั้นคลิก OK


เราก็จะได้ Form1 ขึ้นมาตามรูปครับ



ถ้าหากเราไม่ชอบชื่อ Form1 เราก็สามารถเปลื่อนชื่อได้ครับโดยการ คลิกขวาที่ Form1 แล้วเลือก Rename



จากนั้นจะมีหน้าต่างยืนยันก็ให้เรากด Yes ครับ



จากนั้นทำการเปลี่ยนชื่อ Form ตรง Tab Properties ตรง Text ให้เป็นชื่อที่เราต้องการครับ



จากนั้นลองกด Run ดู



ก็จะได้หน้าต่าง Form ที่เราตั้งชื่อใหม่ครับ แต่ในตัวอย่างผมไม่ได้เปลี่ยนชื่อน่ะ ฮ่ะๆ

           เอาละครับเป็นอันเสร็จการสร้าง Project ต่อไปเราจะมาทำ การติดต่อ ฐานข้อมูล กันเอาล่ะเรามาเริ่มกัน  ก่อนอื่นเราต้องมี ฐานข้อมูลก่อนน่ะครับในตัวอย่างผมใช้ MySql ที่รันบน XAMPP น่ะครับ



เมื่อเราได้ ฐานข้อมูลแล้วเราก็มาสร้าง Module กัน
คลิกขวาที่  Project -> ADD -> Module



จากนั้นจะมี หน้าต่างขึ้นมา ให้เราตั้งชื่อใหม่ ในตัวอย่าง ผมตั้งว่า ModuleMain ครับจากนั้นกด ADD



เราก็จะได้ Module ขึ้นมา ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการเขียน Module กันเลย
คลิกขวาที่ Module -> View Code ก็จะได้ส่วนของ Source Code ของ Module ขึ้นมาจากนั้นให้เราพิมพ์ Code ลงไปดังต่อไปนี้






Imports System.Data 
Imports System.Data.Odbc      'ใครเลือก OLEDB ก็ให้ใส่ OLEDB น่ะ
Module ModuleMain
    'กำหนด DSN sSQL ที่เราสร้างขึ้นมาน่ะครับ
    Dim conString As String = "DSN=sSQl;UID=root;PWD=root"
    Public Conn As New OdbcConnection(conString)
    Public Cmd As New OdbcCommand
    Public rs As OdbcDataReader

    Sub OpenDB()
        'ทำการ Open Connect
        Conn.Open()
        'ทำการตรวจสอบว่าทำการเชื่อมต่อได้หรือไม่
        If ConnectionState.Open = ConnectionState.Open Then
            'ถ้าเชื่อมต่อได้ให้แสดง ข้อความ  "เชื่อมต่อฐานข้อมูลได้แล้ว"
            MsgBox("เชื่อมต่อฐานข้อมูลได้แล้ว")
        End If
    End Sub

End Module


ในตัวอย่างผมเลือกใช้  ODBC  น่ะครับ จากนั้นลองรันดูก็จะได้ตามรูปข้างล่างนี้



หากใครไม่ได้ตามนี้แสดงว่าเขียนผิดน่ะครับฮ่าๆ กลับไปดู Code ใหม่เลย

แค่นี้ก็จบแล้วครับขั้นตอนการสร้าง Project และการเชื่อมต่อ DB ใน Visual Studio .Net หากท่านใดทำไม่ได้หรือไม่เข้าใจตรงไหน สามารถ คอมเม้นมาได้เลยครับ ยินดีตอบครับ ก่อนจากกันต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและติดตาม Blog และหากผิดพลาดประการใดต้องขอ อภัย ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยมือใหม่หัดเขียนครับ ขอบคุณครับ



Credit by krumkroo